การศึกษาภาษาไทยในปัจจุบันได้รับความสนใจน้อยลงตามลำดับ
ดังจะเห็นได้จากการที่นิสิตนักศึกษาในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเรียนวิชาภาษาไทยเป็นวิชาเอกนั้นมีน้อยเหลือเกิน
แม้แต่ที่เรียนวิชาภาษาไทยเป็นวิชาโทก็มีน้อยเช่นกัน ยิ่งผู้ที่จะเรียนระดับปริญญาโท
- ปริญญาเอกในด้านภาษาไทยยิ่งมีน้อยมาก
เหตุผลที่สำคัญประการหนึ่งก็คืออาจารย์ภาษาไทยที่มีความรู้ภาษาบาลีและสันสกฤตจริง
ๆ หาได้น้อยมาก ในสมัยก่อนเรามีพระยาอุปกิตศิลปสาร อาจารย์กำชัย ทองหล่อ
ฯลฯ ซึ่งเป็นเปรียญ แม้กรรมการชำระปทานุกรมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้มีความรอบรู้ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นอย่างดี
เช่น อาจารย์วงศ์ เชาวนะกวี พระธรรมนิเทศทวยหาญ อาจารย์เกษม บุญศรี อาจารย์เจริญ
อินทรเกษตร ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้มักจะยึดหลักการออกเสียงคำสมาสตามแบบภาษาบาลีและสันสกฤตค่อนข้างเคร่งครัดมาก
หากจะมียกเว้นบ้างก็มีเป็นส่วนน้อย ดังนั้นในสมัยนั้นการอ่านคำสมาสต่าง
ๆ จึงมักยึดหลักเกณฑ์ค่อนข้างเคร่งครัด เช่น ประวัติศาสตร์ ก็ต้องอ่านว่า
ประ - หวัด - ติ - สาด รัฐธรรมนูญ ก็ต้องอ่านว่า รัด - ถะ - ทำ - มะนูน
สังคมศาสตร์ ก็อ่านว่า สัง - คม - มะ - สาด แต่อาจารย์ภาษาไทยในปัจจุบันมีความรู้ในด้านภาษาบาลีและสันสกฤตน้อยลงหรือแทบจะไม่มีเลย
ก็มักไม่มีหลักเกณฑ์ในการอ่าน และมักจะยอมให้อ่านตามใจชอบหรือตามใจคนส่วนมากที่อ่านผิด
ๆ เพราะความไม่รู้หลักภาษานั่นเอง แม้แต่คำว่า "ปริญญา" (ปะ
- ริน - ยา) บางคนก็บอกว่าเขาอ่านว่า "ปฺริน - ยา" เพราะฉะนั้น
ก็ควรให้อ่านว่า "ปฺริน - ยา" ได้ด้วย เพราะไม่ทราบว่าคำนี้
เป็นคำบาลีซึ่งเขียนว่า "ปริญฺญา" ซึ่งมาจากคำอุปสรรค "ปฺริ"
(ปะ - ริ) แปลว่า "รอบ" กับ "ญา" ซึ่งแปลว่า "รู้"
หาได้มาจากคำว่า "ปฺริ" (ปริ) ซึ่งแปลว่า "แย้ม, ผลิ,
แตกแต่น้อย" ไม่
คำที่อาจารย์เหล่านี้มักพูดเสมอว่า
การที่ออกเสียงตามหลักสมาสเหล่านั้น ตนไม่เคยได้ยิน ไม่เคยออกเสียงอย่างนั้น
คล้าย ๆ กับกรรมการชำระปทานุกรมผู้หนึ่งซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ถ้าท่านจะไม่ยอมรับ
ท่านก็จะบอกว่า "ไม่เคยได้ยิน" "ไม่เคยเห็น" รู้สึกว่าท่านเอาตัวท่านคนเดียวเป็นหลัก
คำใดที่ท่านไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินละก็ ท่านจะไม่ยอมให้เก็บไว้ในพจนานุกรม
ถึงกับกรรมการบางท่านต้องบอกว่า "ให้คนอื่นเขาได้ยิน ให้คนอื่นเขาได้เห็นบ้างซี"
แม้แต่ศัพท์ธรรมะทางพระพุทธศาสนา
เช่นคำว่า "พรหมวิหาร" ซึ่งเขาออกเสียงกันว่า "พฺรม -
มะ - วิ - หาน" ทั้งนั้น แต่อาจารย์บางท่าน ท่าน ออกเสียงว่า "พฺรม
- วิ - หาน" ท่านก็จะบังคับให้อ่านว่า "พฺรม - วิ - หาน"
อย่างเดียว ที่ออกเสียงอย่างนั้น ได้แก่ นามสกุลของนายไกสอน พรหมวิหาน
แห่งราชอาณาจักรลาว หาใช่ "พรหมวิหาร" ("พฺรม - มะ -
วิ - หาน") ซึ่งเป็นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไม่ข้าพเจ้าจึงรู้สึกวิตกว่าในอนาคตอันใกล้นี้
การออกเสียงคำสมาสแบบบาลีและสันสกฤต อาจจะหมดไปจากภาษาไทยก็ได้ ถ้าหากเราปล่อยให้อ่านกันไปตามบุญตามกรรม
ข้าพเจ้าได้เคยเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการชำระปทานุกรมรุ่นก่อน
ๆ ตั้งแต่ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗ ซึ่งในสมัยนั้น กรรมการส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
และมีความรอบรู้เกี่ยวกับหลักภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจในด้านภาษาไทยเป็นอย่างมากและก็ได้นำหลักเกณฑ์ของท่านมาใช้ในการปรับปรุงพจนานุกรมและชำระพจนานุกรมในโอกาสต่อมากรรมการรุ่นนั้นที่ได้เป็นกรรมการชำระ
ปทานุกรม ก่อนข้าพเจ้าก็ได้สิ้นพระชนม์ ถึงอสัญกรรม ถึงอนิจกรรม และถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว
คนสุดท้ายที่เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ก็คือศาสตราจารย์ ดร. คุณบรรจบ พันธุเมธา
นั่นเอง เวลานี้ข้าพเจ้าจึงเป็นบุคคลเดียวที่เป็นกรรมการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการชำระพจนานุกรมมานานที่สุด
และก็เป็นกรรมการคนเดียวในปัจจุบันที่ได้ศึกษาบาลีและสันสกฤตมาโดยเฉพาะ
แต่ก็คงไม่สามารถรักษาหลักเกณฑ์ การอ่านคำสมาสแบบบาลีและสันสกฤตไปได้นานนัก
ก็คงต้องยึดหลักว่า "ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง" นั่นแหละ คือต้องทำจิตว่างไว้บ้าง
เพราะภาษาไทยก็มิใช่เป็นของเราแต่ผู้เดียว อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคืออ่านให้ถูก
หลักสมาสไว้ก่อนก็แล้วกัน อย่างน้อยก็เพื่อจะได้แสดงถึงภูมิปัญญาของผู้อ่านหรือผู้พูดด้วย.