นิสัยประการหนึ่งของคนไทยก็คือ
การชอบสบถสาบาน คำในลักษณะเดียวกับคำสบถสาบาน แต่ใช้ในลักษณะที่สูงกว่าก็มี
"คำปฏิญาณ" และ "การตั้งสัตยาธิษฐาน"
คำว่า "สบถ"
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "ก.
อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลงโทษตนเอง เมื่อไม่เป็นอย่างพูด." ตรงกับคำบาลีว่า
"สปถ" (สะ - ปะ - ถะ) และสันสกฤตว่า "ศปถ" (สะ -
ปะ - ถะ)
คำว่า "สาบาน"
พจนานุกรม ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "ก. สบถโดยให้คำ ปฏิญาณ." ตรงกับคำบาลีว่า
"สปน" (สะ - ปะ - นะ) และ สันสกฤตว่า "ศปน" (สะ
- ปะ - นะ) และมีลูกคำอยู่คำหนึ่งคือ "สาบานธง" ซึ่งพจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ว่า
"ก. กล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล (ใช้แก่ทหาร)."
คำว่า "ปฏิญาณ"
พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "ก. ให้คำมั่นสัญญา โดยมากมักเป็นไปตามแบบพิธี."
คำว่า "ปฎิญญา"
พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "น. การให้คำมั่นสัญญา หรือการแสดงยืนยันโดยถือเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความสุจริตใจเป็นที่ตั้ง."
คำว่า "สัตยาธิษฐาน"
พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "น. การตั้งความจริงใจเป็นหลักอ้าง."
เกิดจากการนำคำสันสกฤตว่า "สัตย" กับ "อธิษฐาน"
มาเข้าสนธิกัน ถ้านำคำบาลีว่า "สัจจ" มาเข้าสนธิกับคำสันสกฤตว่า
"อธิษฐาน" ก็จะเป็น "สัจจาธิษฐาน"
ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มเล็ก
ๆ เล่มหนึ่ง ชื่อ "ประมวลสัจจวาจา" ที่นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี พิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน ณ วัดประยุรวงศาวาส วันที่
๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ในหนังสือเล่มนี้ หลวงวิจิตรวาทการ อดีตเลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน
ได้เขียนอธิบายเรื่อง "ประมวลสัจจวาจา" ไว้ดังนี้
"เจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้ข้าพเจ้ารวบรวมคำปฏิญาณต่าง ๆ พิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือประมวลคำปฏิญาณเล่มหนึ่ง
เพื่อแจกในงานกฐินครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้เก็บผะสมตามที่จะหาได้ในชั่วเวลาอันเล็กน้อยมารวมไว้ในที่นี้
และให้ชื่อหนังสือนี้ว่า "ประมวลสัจจวาจา"
ที่ต้องใช้ชื่อเช่นนั้น
เพราะคำที่นำมาประมวลไว้มีอยู่ไม่แต่เฉพาะ คำปฏิญาณ ยังมีสัจจาธิษฐาน
และคำสาบานอยู่ด้วย คำเหล่านี้มีลักษณะต่างกัน คือ
"คำสาบาน"
เป็นคำแช่ง เพราะ "สาบาน" นั้น แปลตามศัพท์ว่า "แช่ง"
ฉะนั้น คำสาบานทุกเรื่องจะต้องมีการแช่งตัวเอง คือเริ่มต้นด้วยการกล่าวรับรองว่าจะปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้
ถ้าไม่ปฏิบัติตามที่พูดไว้ ก็ขอให้ผลร้ายภัยอันตรายต่าง ๆ บังเกิดขึ้นแก่ตนเอง
คำสาบานต้องมีลักษณะเป็นการแช่งตัวเอง ถ้าไม่มีการแช่งจะเรียกว่า สาบาน
ไม่ได้
"สัจจาธิษฐาน"
ตรงกันข้ามกับ สาบาน คือ แทนที่จะมีการแช่ง กลับมีการให้พรหรือขอพรไว้ข้างท้าย
ทั้งนี้โดยดำเนินตามหลักในทางพระพุทธศาสนา กล่าวคือในทางพระพุทธศาสนาไม่มีการแช่ง
มีแต่ว่าถ้าทำดีก็ให้มีความเจริญ ถ้าทำตามถ้อยคำที่ให้ไว้ก็ให้มีความสุขสวัสดี
(เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ด้วยอำนาจสัจจวาจานั้น ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน*
ทุกเมื่อ) ถ้าหากทำผิด จะได้รับผลอะไรก็ตามที แต่ในทางพระพุทธศาสนาไม่แช่งไว้
คำสัจจาธิษฐานก็เริ่มต้นอย่างเดียวกับคำสาบาน คือกล่าวรับรองว่าจะปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ลงท้ายแทนที่จะแช่งตัวเองให้ได้รับภัยอันตรายต่าง ๆ ในเมื่อกระทำผิดถ้อยคำ
กลับกล่าวไปในทางที่ดี คือว่า เมื่อได้ปฏิบัติตามถ้อยคำที่พูดนั้นแล้ว
ก็ขอให้มีความสวัสดี ส่วนการที่ไม่ปฏิบัติหรือทำผิดจากถ้อยคำที่ให้ไว้นั้นไม่พูดถึง
เพราะการแช่งไม่ใช่คติของพระพุทธศาสนา
"คำปฏิญาณ"
ผิดกับ คำสาบาน และ สัจจาธิษฐาน โดยเหตุว่าคำปฏิญาณเป็นแต่กล่าวรับรองเฉย
ๆ ว่าจะทำอย่างนั้นย่างนี้ แต่ไม่มีคำสาปแช่งหรือขอพรขอรับผลดีอย่างไร
เช่นคำปฏิญาณของทหารที่พิมพ์ไว้ในที่นี้เป็นต้น
"ที่ใช้กันอยู่โดยมากในเมืองเราแต่ก่อนมา
มักมีคำสาบานกับสัจจาธิษฐานผสมกัน คือมีทั้งแช่งและขอพรอยู่ในเรื่องเดียวกัน
แช่งตัวเองไว้ในเมื่อทำผิดวาจา และขอความสุขความเจริญแก่ตนในเมื่อได้ปฏิบัติตามถ้อยคำที่ให้ไว้
อย่างไรก็ดี มาถึงสมัยนี้ คำสาบานและสัจจาธิษฐานมีที่ใช้น้อย โดยมากเป็นแต่คำปฏิญาณ
แม้คำที่เรียกว่า "สาบานธง" เดี๋ยวนี้ก็มิได้ใช้ คงใช้แต่คำปฏิญาณ
ถ้าหากจะเลิกใช้คำว่า "สาบานธง" กันจริง ๆ ข้าพเจ้าก็เห็นพ้องด้วย
เพราะคำว่า "สาบานธง" ก็เป็นคำใช้ที่ไม่เหมาะอยู่แล้ว เพราะคำว่า
"สาบานธง" นั้นจะแปลอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะต้องแปลว่า "แช่งธง"
คำว่า "สาบานตัว" ก็แปลว่า แช่งตัวเอง ส่วนการกระทำสัตย์สาบานต่อหน้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะเรียกว่า
สาบานสิ่งนั้นไม่ได้ ต้องพูดให้เต็มความว่าสาบานตัวต่อหน้าสิ่งนั้น ๆ
เช่นการสาบานตัวต่อหน้าพระพุทธปฏิมากร ไทยเราก็เคยพูดเต็มประโยคว่า "สาบานตัวต่อหน้าพระ"
เราไม่เคยพูดว่า "สาบานพระ" เลย
สัจจวาจาทั้งหลายที่ได้ประมวลมาในหนังสือเล่มนี้
ได้รวบรวมตามที่นึกได้ในชั่วเวลาเล็กน้อย อาจมีสัจจวาจาอื่น ๆ ที่ยังหลงอยู่โดยข้าพเจ้าไม่รู้หรือไม่สามารถนึกได้
ท่านผู้ใดทราบและนึกได้อีกนอกจากที่พิมพ์ไว้แล้วนี้ ขอโปรดแจ้งแก่ข้าพเจ้า
จะขอบคุณอย่างยิ่ง
|
หลวงวิจิตรวาทการ
หอสมุดแห่งชาติ
๒๔ ตุลาคม ๒๔๗๗"
|