สถานที่ที่มนุษย์ไม่ปรารถนาที่จะเข้าไปอยู่เป็นอย่างยิ่งก็คือ
"คุก - ตะราง" หรือเรียกให้เสนาะหูสักหน่อยก็คือ "เรือนจำ"
เพราะคนที่เข้าไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น ก็คือ "นักโทษ" ซึ่งเราเรียกอาการที่ต้องไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นว่า
"ติดคุก - ติดตะราง" แต่ไม่เคยได้ยินใครพูดว่าไป "ติดเรือนจำ"
เลย
คำว่า
"คุก" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้
"น. ที่ขังนักโทษ, เรือนจำ, ห้องใต้ถุนหรือใต้บันไดสำหรับเก็บสิ่งของ."
คำว่า
"ตะราง" พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ว่า "น. ที่คุมขังนักโทษ."
คำว่า
"เรือนจำ" คำนี้คงแปลมาจากภาษาบาลีว่า "พันธนาคาร"
นั่นเอง พจนานุกรมได้ให้ความหมายไว้ว่า "น. ที่ขังนักโทษ."
เมื่อพิจารณาจากพจนานุกรมแล้ว
ก็ไม่ทราบว่า "คุก - ตะราง - เรือน -จำ" มีความหมายต่างกันอย่างไรบ้างหรือไม่
หรือมีความหมายเท่ากันพอดี
ต่อมาข้าพเจ้าได้อ่านบทความเรื่อง
"ราชทัณฑ์" ที่นายประเสริฐ เมฆมณี อดีตรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์
เขียนส่งไปให้ราชบัณฑิตยสถานเพื่อตีพิมพ์ลงใน "สารานุกรมไทย"
จึงได้เข้าใจความหมายของคำว่า "คุก" และ "ตะราง"
ดีขึ้น ข้าพเจ้าขอนำข้อความบางตอนมาเสนอท่านผู้ฟังดังนี้
"...เรือนจำในกรุงเทพฯ
(ยุคแรก) มีชื่อเรียกเป็น ๒ อย่าง คือ คุก และ ตะราง
คุกเป็นที่คุมขังผู้ต้องขังมีกำหนดโทษตั้งแต่
๖ เดือนขึ้นไป คุกเดิมตั้งอยู่ที่หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ตรงที่ตั้งกองทหาร
ร.พัน ๑ ในปัจจุบัน ภาษาสามัญชนเรียกคุกนี้ว่า "คุกหน้าวัดโพธิ์"
และสังกัดกระทรวงนครบาล หลวงพัศดีกลางเป็นหัวหน้าดูแลรับผิดชอบ โดยมีขุนพัศดีขวาและขุนพัศดีซ้ายเป็นผู้ช่วย
ส่วนผู้คุมใช้เลขไพร่หลวงยามใน คนใดมาเข้าเวรไม่ได้ ต้องเสียเงินคนละ
๖ บาทสำหรับจ้างผู้คุมแทนตัว เจ้าพนักงานคุกไม่มีเงินเดือนหรือเบี้ยหวัด
ได้ผลประโยชน์จากการใช้แรงงานนักโทษทำงาน และได้ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่นักโทษต้องเสีย
ค่าธรรมเนียมการรับนักโทษ มีอัตราวางไว้เก็บเมื่อเข้ามาต้องโทษ และเมื่อพ้นโทษต้องเสียเงินให้เจ้าพนักงานที่นำความกราบบังคม
ทูล ๓ ตำลึง (๑๒ บาท) ครั้นโปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยตัว เสียให้อีก ๒ ตำลึง
(๘ บาท) การกิน การนุ่งห่มของนักโทษ ญาติพี่น้องต้องติดตามมาส่งบ้าง
นักโทษทำงานด้วยฝีมือเป็นลำไพ่ของตนบ้าง เช่น การช่างไม้และการจักสาน
มิได้จ่ายของหลวงให้เลย
ส่วนตะรางใช้เป็นที่คุมขังผู้ต้องขังที่มีโทษตั้งแต่
๖ เดือนลงมา กับนักโทษที่มิใช่โจรผู้ร้าย ตะรางมีหลายแห่งซึ่งสังกัดอยู่ตามกระทรวงทบวงกรมที่บังคับบัญชากิจการนั้น
ๆ เช่น ตะรางกลาโหม ตะรางมหาดไทย ตะราง กรมท่าช้าง ตะรางกระทรวงวัง ตะรางกระทรวงนครบาล
ตะรางกระทรวงนครบาลนี้มีรวมทั้งหมด ๑๒ ตะราง ซึ่งได้แยกไปสังกัดในบังคับบัญชาของกรมพระนครบาล
๔ ตะราง สังกัดกรมพลตระเวน ๔ ตะราง ตะรางต่าง ๆ ที่แยกย้ายไปสังกัดกระทรวงทบวงกรมต่าง
ๆ กันนี้ก็เพราะการศาลสถิตยุติธรรมในสมัยนั้นแยกย้ายกันสังกัดอยู่ ไม่ได้รวมขึ้นอยู่ในกระทรวงเดียวกันเหมือนสมัยนี้
การเรือนจำหัวเมืองชั้นนอก
เดิมหน้าที่การไต่สวนโจรผู้ร้ายและการตุลาการในหัวเมืองชั้นนอกรวมอยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการเมือง
ซึ่งมีที่คุมขังผู้ต้องขัง เรียกว่า ตะรางประจำเมือง เมืองละแห่ง แต่บางเมืองมีอาณาเขตกว้างขวาง
ถ้ามีพลเมืองมากก็สร้างที่คุมขังย่อยขึ้นตามอำเภอ สำหรับคุมขังผู้ต้องหาในคดีที่มีโทษหลวงรอจนกว่าจะได้ส่งตัวมายังผู้ว่าราชการเมือง
บางเรื่องบางรายถ้าเป็นความผิดฉกรรจ์มหันตโทษ ผู้ว่าราชการเมืองต้องส่งตัวมายังกระทรวงเจ้าสังกัด
คือกลาโหม การคุมขังนักโทษในสมัยนั้นไม่มีกฎข้อบังคับเรือนจำวางไว้โดยเฉพาะ
แล้วแต่ผู้ว่าราชการเมืองจะวางขึ้นใช้เองตามที่เห็นสมควร"
ท่านผู้ฟังคงพอกำหนดได้แล้วว่า
คำว่า "คุก" ใช้คุมขังที่มีโทษตั้งแต่ ๖ เดือนขึ้นไป ส่วน
"ตะราง" นั้นใช้คุมขังผู้ต้องขังที่มีโทษตั้งแต่ ๖ เดือนลงมา
นับว่า "คุก" มีศักดิ์ศรีสูงกว่า "ตะราง" คนที่ติดคุกติดตะรางนาน
ๆ เมื่อพ้นโทษออกมาจากคุกจากตะรางแล้วคนก็ยังเรียกด้วยความเหยียดหยามว่า
"ขี้คุกขี้ตะราง" ทำให้หมดศักดิ์ศรีไปทีเดียว.