ในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา
เราพบคำว่า "อสูร" และ "จอมอสูร" อยู่บ่อย ๆ มีผู้สงสัยว่า
เมืองอสูรอยู่ที่ไหน และใครเป็นจอมอสูร
หนังสือ "โลกบัญญัติ"
ที่หอสมุดแห่งชาติ ตรวจชำระเรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาบาลีและ กรมศิลปากรได้จัดพิมพ์เผยแพร่
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้กล่าวถึง "อสูร" ไว้ใน "อสุรชาติวิภาค
กัณฑ์ที่ ๔" ไว้เพียงย่อ ๆ ดังนี้
"ต่อไปนี้ กล่าวถึงวิภาคของกำเนิดอสูร
ณ ประเทศอันเป็นรากฐานภายใต้ของภูเขาหลวงสิเนรุ ก็แลจากประเทศอันเป็นรากฐานภายใต้จนถึงภายนอก
ของเมืองอสูรทั้ง ๔ โดยรอบทางฝั่งนี้ของทะเลร่วมใน แต่ละส่วน ๆ มีพาหา
(ไหล่) ๑๒๔,๐๐๐ โยชน์ โดยรอบพาหาทั้ง ๔ ของแดนอสูร ๔๙๐,๐๐๐ โยชน์ ณ ประเทศท่ามกลางของพาหาทั้ง
๔ มีเมืองอสูร ๔ เมือง ล้อมด้วยกำแพงทอง มีประตู ๑,๐๐๐ ช่อง ด้านนอกมีคูล้อมรอบด้วยแถวต้นตาล
ในระหว่าง ๆ มีสระโบกขรณี เหนือ คูมีหมู่อสูรและอสูรกัญญาพากันเล่นสนุก
เปล่งเสียงรื่นรมย์ด้วยลีลาอันสวยงาม ประหนึ่งจะพึงกล่าวได้ว่าเป็นวนะอันเป็นแดนแห่งความสนุกสนาน
ด้านนอกของสระโบกขรณีเหล่านั้น มีอุทยาน ๔ แห่ง ในสถานที่ ๔ ตำบล สมบูรณ์ด้วยไม้ดอกไม้ผล
เป็นสถานอันน่ารื่นรมย์ ในภายในคูสระ และอุทยานมีนครอสูร ภายนอกนครเหล่านั้น
ในทิศทั้ง ๔ มีหมู่บ้านอสูร นิคมอสูร ชนบทอสูร น้ำของ มหาสมุทรอันเป็นร่วมใน
ย่อมไม่ไหลล่วงฝั่งในแดนอสูรจากภายนอกของชนบทเหล่านี้ ในราหุสูตร ฉันใด
ในแดนอสูรทั้งปวงก็ฉันนั้น ในท่ามกลางของเมือง อสูรทั้ง ๔ แห่ง มีต้นไม้ชื่อจิตตปาตลี
ที่ใกล้โคนต้นจิตตปาฏลีนั้น มีแผ่นศิลา ๔ แผ่น ประมาณ ๓๐ โยชน์ จอมอสูรทั้ง
๔ ย่อมอยู่ประจำ ณ ที่นั้น ที่ประชุม ปราสาท วิมาน กุฏาคาร ที่พำนัก
ร้านตลาด และถนนย่อมแผ่กว้างไปในประตูทั้งหลาย เหมือนสิ่งอุปโภคของเทพยดาชาวดาวดึงส์
แต่แผ่ไปเป็น หย่อม ๆ ทรามกว่า
"เมืองอสูรทางปุรัตถิมทิศ
จอมอสูรชื่อ เวปจิตติ ยุวราช ชื่อ สุจิตติ ทั้งสองเป็น จอมอสูร ครองความเป็นราชา
มีอิศราธิปัตย์ของอสูรผู้มเหศักดิ์ทั้งหมด ตลอดถึงหมู่อสูรที่ชื่อว่า
กาลกัญจิกา อันเป็นพวกที่ทรามกว่าอสูรทั้งปวง ที่มีรูปร่างต่าง ๆ มีริมฝีปากแบะ
และมีริมฝีปากแคบ มีเล็บยาว บางพวกมีเท้าคด มีเล็บกุด มีผิวเหลืองซีดเหมือนใบไม้เหลือง
และมีเส้นเอ็นสะพรั่งทั่วตัว มีดวงตากลมโปนออกมา มีจมูกและเท้ายาว หัวคด
พวกอสูรที่มีรูปร่างต่าง ๆ อย่างนี้ เป็นพวกอสูรที่อยู่ในทวีปปุพพวิเทหะ
ตลอดไปถึงแดนทวีปกุรุ (ล้วนอยู่ในปกครองของจอมอสูรทั้งสอง) จอมอสูรทั้งสองเพียบพร้อมด้วยด้วยจตุรงคินีเสนา
พลช้าง พลม้า พลรถ และพลราบ ย่อมบุกรุกขึ้นไปเพื่อต้องการจะรบกับเทวดาชาวดาวดึงส์
เมืองอสูรที่ ๒ ทางทิศทักษิณ
ในเมืองนั้นมี จอมอสูร ชื่อ สํปรี เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องที่ดียิ่ง ยุวราช
ชื่อ นมุจิ ทั้งสองเป็นจอมอสูร ครองความเป็นราชา มีอิศราธิปัตย์ของหมู่อสูรทั้งปวง
และหมู่อสูรที่อยู่ในชมพูทวีป ตามเรื่องที่พรรณนาถึงพวกอสูรในก่อน จอมอสูรทั้งสองนั้นเพียบพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา
บุกรุกขึ้นไปเพื่อต้องการจะรบกับเทวดาชาวดาวดึงส์
เมืองอสูรที่ ๓ ทางทิศปัจฉิม
ในเมืองนั้นมีจอมอสูร ชื่อ พหินะ มียุวราชชื่อ อสุระ ทั้งสองเป็นจอมอสูร
ครองความเป็นราชา มีอิศราธิปัตย์ของพวกอสูรทั้งปวง และของพวกอสูรที่อยู่ในทวีปอมรโคยาน
ตามที่พรรณนาเรื่อง อสูรในก่อน ฯลฯ
เมืองอสูรที่ ๔ ทางทิศอุดร
มีจอมอสูรชื่อ ปหาราทะ มียุวราช ทั้งสองเป็นจอมอสูรครองความเป็นราชา
มีอิศราธิปัตย์ของพวกอสูรทั้งปวง และพวกอสูรที่อยู่ในทวีปอุตตรกุรุ ตามที่พรรณนาถึงอสูรไว้ในก่อน
ฯลฯ
วิภาคแห่งอสุรชาติต่าง
ๆ พึงทราบด้วยประการฉะนี้ อสุรชาติวิภาคกัณฑ์ที่ ๔ (ว่าด้วยกำเนิดของอสูร)
จบ"
เวลานี้หนังสือพิมพ์มักนำคำว่า
"เทพ" บ้าง "มาร" บ้าง มาใช้เรียกนักการเมืองพรรคต่าง
ๆ ข้าพเจ้าจึงนำคำว่า "อสูร" มาเสนอท่านผู้ฟัง เพราะถือว่าเป็นคำในชุดเดียวกัน.