ในสมัยโบราณถือว่า
"ช้างเผือก" เป็นช้างที่แสดงบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ ถ้าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดมีช้างเผือกหลายช้างก็แสดงว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงมีบุญญาบารมีสูงส่ง
บางทีถึงกับเป็นเหตุทำให้เกิดสงครามชิงช้างเผือกกันก็มี ดังเช่นสงครามช้างเผือกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้น
ซึ่งก็คงพอเทียบได้กับ "ช้างแก้ว" ของพระเจ้าจักรพรรดิตามคติความเชื่อถือของอินเดียนั่นเอง
และสิ่งที่คู่กับ "ช้างเผือก" อีกอย่างหนึ่งก็คือ "นางงาม"
ก็คงเป็นคติเดียวกันที่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องมี "นางแก้ว"
นั่นเอง ในเรื่อง "ช้างเผือกกับนางงาม" นี้ ได้มีพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ ซึ่งนับว่าน่าสนใจมาก ข้าพเจ้าขออัญเชิญพระราชนิพนธ์นั้นเพียงบางส่วนมาเสนอท่านผู้ฟังต่อไป
ในส่วนที่เกี่ยวกับ "ช้างเผือก"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ดังนี้
"มีคำเขียนในพระราชพงศาวดาร
กล่าวเรื่องแผ่นดิน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชสมบัติกรุงมหานครศรีอยุธยา
ได้ช้างเผือกมา ๗ ช้าง ความทราบไปถึงกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีแต่งทูตให้มาขอทำไมตรีเป็นเมืองพี่เมืองน้อง
จะไม่ทำศึกสงครามต่อไป แต่จะขอช้างเผือกช้างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ช้างเผือกจะยกทัพมาทำสงครามใหญ่
ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงปรึกษาด้วยข้าราชการเป็นอันมากเห็นพร้อมกันว่า
เมืองหงสาวดีมีอำนาจโตใหญ่ เป็นแดนมากของทัพศึกสำคัญ จะสู้รบเป็นโดยอันยาก
ก็ครั้งนี้มีช่องมีคราวที่จะไกล่เกลี่ยเป็นไมตรี ก็ช้างเผือกของเรามีถึง
๗ ช้าง ควรจะยกให้พระเจ้าหงสาวดีไปเสียช้างหนึ่งระงับทัพศึกสงครามให้สงบหาย
ให้บ้านเมืองเป็นสุขสนุกสบายไปแล้ว ถ้าบุญของเรายังมี ช้างโขลงในป่ามีถมไป
อุตส่าห์ค้นคว้าไป ก็คงจะได้มาอีกสักช้างหนึ่ง มาเพิ่มเติมให้เต็ม ๗
ช้างดังเก่า เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิทรงพระราชดำริ พร้อมด้วยความคิดข้าราชการเป็นอันมากดังนี้
จึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระราเมศวร ๑ เจ้าพระยาจักรี ๑ พระสุนทรสงคราม
ผู้สำเร็จราชการเมืองสุพรรณบุรี ๑ ทั้งสามนี้ไม่ยอมตามพระราชดำริและความคิดท่านทั้งหลายทั้งปวง
กราบทูลว่า ช้างเผือก ๗ ช้างที่ได้มานั้นเป็นนิมิตเป็นเหตุให้เห็นว่าพระบารมีครั้งนี้โตใหญ่
พระเจ้าหงสาวดียกทัพมาครั้งก่อนจนศึกเข้าติดประชิดพระนครแล้วเอาชัยชนะก็มิได้
ต้องล่าทัพกลับคืนไปก็เพราะพระบารมี ภายหลังได้ช้างเผือกมา ๗ ช้างดังนี้
จนพระเจ้าหงสาวดีต้องกลับมาของ้อ ก็เป็นเหตุให้เห็นว่าพระบารมีจะใหญ่โต
พระเจ้าหงสาวดีเห็นจะสู้ไม่ได้ ถ้าพระราชทานช้างไปด้วยเกรงใจพระเจ้าหงสาวดี
ก็จะเป็นที่เห็นว่าตัดรอนพระบารมีของพระองค์เองให้เสื่อมทรามลง ถ้าแม้นพระเจ้าหงสาวดี
ด้วยเหตุที่ไม่ได้ช้างจะยกกองทัพมาแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสามจะขอรับอาสาฉลองพระเดชพระคุณ
เอาชีวิตเป็นแดนต่อสู้กำชัยชนะให้จงได้..." คงจะเป็นเพราะวาทะในตอนท้ายที่ว่า
"ก็จะเป็นที่เห็นว่าตัดรอนพระบารมีของพระองค์เองให้เสื่อมทรามลง"
นี้เอง ทำให้พระเจ้าจักรพรรดิทรงเกิดขัตติยมานะ และทรงเห็นด้วยกับพระราเมศวร
เจ้าพระยาจักรี และพระสุนทรสงคราม ซึ่งเป็นฝ่ายข้างน้อย จึงไม่พระราชทานช้างเผือกให้แก่พระเจ้าหงสาวดี
และในที่สุดก็เกิดสงคราม ซึ่งเราเรียกกันว่า "สงครามช้างเผือก"
ทั้งนี้เพราะมีช้างเผือกเป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามนั่นเอง
ในส่วนที่เกี่ยวกับ "นางงาม"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งดังนี้
"ว่าถึงนางรูปงามก็เป็นที่เกี่ยงกันว่าคนนั้นดีกว่าคนนี้
คนนี้ดีกว่าคนนั้นดีกว่าคนโน้น จะเป็นปากหนึ่งปากเดียวกันลงเป็นแน่เหมือนช้างเผือกไม่ได้
เพราะไม่มีลักษณะอันใดเป็นที่สังเกต เมียใคร ๆ ก็ว่าดี ถึงกระนั้นจะว่าแต่ด้วยของในหลวง
ก็เป็นที่เห็นพร้อมกันที่ดูพร้อมกันก็แต่ละครผู้หญิง เป็นของมีสำหรับแผ่นดินทุกแผ่นดินมา
เว้นไว้แต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ตัวพระเอกนางเอกในโรงละครหลวงนั้น
ก็คนทั้งปวงเป็นอันมากมายอมพร้อมกัน เห็นว่านางใดดีกว่านางอื่นแล้วจึงเลือกสรรให้เป็นพระเอกนางเอก
ก็ได้ออกโรงเป็นที่เห็นของคนเป็นอันมาก ถึงกระนั้นก็เถียง ๆ กันอยู่
ในแผ่นดินเจ้ากรุงธนบุรี มีเล่าลือกันว่างามมากอยู่สามนาง เรียกว่า บุนนาคสีดา
ภู่สีดา ศรีสีดา ครั้นเมื่อเกินแผ่นดินกรุงธนบุรีแล้ว บุนนาคสีดาทำราชการฉลองพระเดชพระคุณในพระบรมมหาราชวัง
โปรดปรานพระราชทานเบี้ยหวัดถึงปีละ ๑๐ ชั่ง ทั้งเป็นเจ้าจอมตัวเปล่า
ไม่มีพระองค์เจ้าและชาติกระกูลก็หาไม่ ทราบว่า บิดาเป็นจีน มารดาเป็นญวน
หาได้เป็นข้าราชการตำแหน่งใดไม่ แต่จะดี อย่างไรจึงเล่าจึงลือจึงโปรดปรานหนักหนา
ก็ไม่ทราบเลย ได้เห็นเมื่อชราแล้ว เอาเป็นแน่ไม่ได้ ภู่สีดานั้นทราบว่าเป็นบุตรวิเศษพระราชทานไปพระบวรราชวัง
มารดาตกเป็นวิเศษปากบาตร ในพระบวรราชวัง สมคบอ้ายสองคนปลอมแปลงเป็นหญิงวิเศษเข้าไปในพระบวรราชวัง
เกิดความขึ้น ชำระไปได้ความว่า จะยอมยกภู่สีดาให้เป็นพระมเหสีของอ้ายคนร้าย
ภู่สีดากับมารดาต้องรับพระราชทานโทษถึงตาย หาได้เห็นตัวว่าอย่างใดไม่
แต่ศรีสีดานั้นพระราชทานไปตามคู่ตุนาหงัน เดิมก็ได้ยินว่าโปรดปรานมาก
แต่เมื่อได้เห็นตัวนั้น เป็นผู้ใหญ่มีพระองค์เจ้าแล้วถึงสองพระองค์ รูปพรรณแปรปรวนอ้วนพี..."
ศรีสีดาผู้นี้ คือ เจ้าจอมมารดาศรี
(ซึ่งเรียกกันว่า เจ้าคุณพี่) เป็น เจ้าจอมมารดาพระองค์เจ้าจักรจั่น
และพระองค์เจ้าบุปผา ในรัชกาลที่ ๒ เป็นธิดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด
ต้นสกุล บุณยรัตนพันธุ์)
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
และ แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็มี "นางงาม"
หรือ "นางเอก" เช่นเดียวกัน.