ผมได้อ่านบทความเรื่อง
"ภาษากฎหมายไทย" ของศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี
ซึ่งท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ได้ถ่ายสำเนาไปให้ข้าพเจ้า
๑ ชุด เป็นบทความที่ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้เขียนไปเสนอในการอภิปรายเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๒๗ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์มาก เพราะท่านผู้เขียนเป็นผู้ที่มีความสนใจในภาษาไทยมากเป็นพิเศษ
ดูเหมือนจะมีอดีตนายกรัฐมนตรีไทยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สนใจในการพูดและการเขียนภาษาไทย
ทั้งยังได้เขียนหนังสือและบทความเกี่ยวกับภาษาไทยที่มีคุณค่ามากไว้ให้เราได้อ่านและข้าพเจ้าได้รับความรู้ในแง่มุมต่าง
ๆ จากหนังสือและบทความของท่านมาก วันนี้จะขอนำข้อความบางตอนในบทความนั้นเฉพาะที่เกี่ยวกับ
"ลักษณนาม" มาเสนอท่านผู้ฟัง ดังนี้
"ลักษณนามคำหนึ่งซึ่งจะถือว่าเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
คือ เดิมลักษณนามที่เกี่ยวกับบุคคลคำหนึ่ง ใช้คำว่า "นาย"
เช่น คณะกรรมการคณะนั้น ๆ มี ๙ นาย แต่สตรีมีสิทธิมากขึ้นกว่าเดิม (ส่วนหน้าที่ก็ดูจะมีน้อยลงไปด้วย)
ตอนที่สตรีมีสิทธิมากขึ้น ก็ได้มาเป็นกรรมการในคณะต่าง ๆ ก็เกิดมีปัญหาตามมาว่าจะเรียกกรรมการ
๙ นายไม่ถูก ผู้หญิงจะเป็น "นาย" ได้อย่างไร ครั้นจะเรียกว่า
๕ นาย ๔ นาง ก็ดูกระไรอยู่ จึงต้องเปลี่ยนใช้คำรวมเป็น "คน"
คือ กรรมการ ๙ คน ฝ่ายสตรีซึ่งเพิ่งได้สิทธิมาใหม่ ๆ ก็เจ้ายศเจ้าอย่างหน่อยตัดพ้อว่า
แต่ก่อนร่อนชะไรเรียก "นาย" ได้ เดี๋ยวนี้เรียก "คน"
เสียแล้ว ดูคล้าย ๆ ว่า ชายไม่ยกย่องหญิงเท่า ที่ควร ปัจจุบันนี้ฝ่ายชายซึ่งโดยปรกติก็ด้อยกว่าฝ่ายหญิงอยู่แล้วในเรื่องความสามารถ
ความปราดเปรื่อง และความเด็ดเดี่ยว ก็จะต้องยอมรอมชอมเพื่อรักษาความสงบ
ยกย่องเสียโด่งฟ้าเลยว่า เป็นกรรมการ ๙ "ท่าน" บัดนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิงกลายเป็น
"ท่าน" ไปหมดแล้ว."
การใช้ลักษณนามว่า "ท่าน"
แทนคำว่า "คน" นั้น เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมาเป็นอีกแนวหนึ่งว่า
ในที่ประชุมคณะกรรมการคณะหนึ่ง มีทั้งเจ้านายและเสนาบดีร่วมเป็นกรรมการในคณะเดียวกัน
เวลาจะใช้ลักษณนามจะใช้อย่างไร เพราะตามปรกติถ้าเป็นเจ้านายก็ใช้ลักษณนามว่า
"องค์" เป็นเสนาบดีก็ใช้ ลักษณนามว่า "คน" ถ้าสมมุติว่า
ในคณะกรรมการชุดนั้นมีเจ้านาย ๒ องค์ เสนาบดี ๓ คน ผู้ที่มิได้มียศถาบรรดาศักดิ์อีก
๓ คน จะใช้ลักษณนามว่าอย่างไร จะบอกว่ามี "กรรมการมาประชุม ๒ องค์
กับ ๖ คน" กระนั้นหรือ เพื่อแก้ปัญหานี้ ท่านจึงใช้ลักษณนามกลาง
ๆ ว่า "ท่าน" คือมี "กรรมการมาประชุม ๘ ท่าน" คำว่า
"ท่าน" ซึ่งตามปรกติเป็นคำสรรพนาม เลยกลายเป็นคำนาม คือใช้เป็นลักษณนามไป
ปัจจุบันนี้มีผู้นำคำว่า "ท่าน" ไปใช้เป็นลักษณนามให้เกร่อไปหมด
แม้แต่นักเรียนและนักโทษก็พลอยไปรับยกย่องให้ใช้ลักษณนามว่า "ท่าน"
ไปด้วย เช่น มีนักเรียน ๓๐ ท่าน มีนักโทษ ๒๕ ท่าน ฯลฯ อย่างนี้ก็ออกจะเกินพอดีไปมาก
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไป ก็ใช้ลักษณนามว่า "คน"
เหมือนกันหมด ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การที่จะใช้ ลักษณนามกับสตรีว่า
"นาย" ก็ดูขัด ๆ หูอยู่ ถ้าจะใช้ลักษณนามว่า "นาง"
ก็คงไม่มีใครชอบ และยิ่งสตรีที่ยังมิได้แต่งงานหากใช้ลักษณนามว่า
"นาง" เขาก็คงไม่ชอบอย่างแน่นอน และอาจต่อว่าหาว่าไปดูถูกดูหมิ่นเขาก็ได้
แต่ถ้าใช้ ลักษณนามว่า "คน" เหมือนกันหมด
ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน เพราะทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างก็เป็นคนเหมือนกัน
คำลักษณนามอีกคำหนึ่ง ที่ศาสตราจารย์ธานินทร์
กรัยวิเชียร กล่าว ถึงก็คือลักษณนามที่ใช้กับ "ช้าง" ดังที่ท่านได้เขียนถึงไว้ดังนี้
"อนึ่ง ภาษากฎหมายครั้งรัชกาลที่
๔ นั้น ลักษณนามบางคำ ท่านทรงตราไว้เป็นกฎหมายว่า ช้างก็ดี ม้าก็ดี เป็นสัตว์ชั้นสูง
จะเรียกช้างหนึ่งตัว ม้าหนึ่งตัวไม่ได้ ต้องเรียก "ช้างหนึ่งช้าง"
"ม้าหนึ่งม้า" มิฉะนั้นจะมีความผิด แต่ภาษาวิวัฒนาการเรื่อยมา
จนถึงปัจจุบันลักษณนามเกี่ยวกับช้างและม้าเปลี่ยนไปแล้ว เราเรียก "ช้างหนึ่งเชือก"
"ม้าหนึ่งตัว" แต่กระนั้นก็ดี ในวงการนักกฎหมายนั้น เคยมีการออกข้อสอบของสำนักอบรมศึกษากฎหมายของเนติบัณฑิตยสภาอยู่ปีหนึ่งว่า
"ช้างพังเชือกหนึ่ง ออกลูกหนึ่งตัว..." กรรมการสอบไล่ต้องไปถกเถียงกันอีกว่า
แล้วเมื่อไร ลูกช้าง "ตัว" นั้น จะบรรลุนิติภาวะเป็น "เชือก"
ขึ้นมา อย่างไรก็ดี โดยที่ร่างกฎหมายมาจนชิน ไม่มีผู้ใดทักท้วงได้ ท่านกรรมการผู้ออกข้อสอบข้อนั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยนลักษณนามจาก
"ตัว" เป็น "เชือก" ตามที่ มีผู้ถกเถียงกัน."
ในเรื่องลักษณนามของช้างนี้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าช้างและม้าเป็นสัตว์ชั้นสูง
จึงทรงให้ใช้ลักษณนามว่า "ช้าง" และ "ม้า" ส่วนสัตว์อื่น
ๆ ให้ใช้ลักษณนามว่า "ตัว"
ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ภาษาไทย
ของราชบัณฑิตยสถานก็ได้เคยนำเรื่องนี้มาพิจารณาและได้ลงความเห็นว่า "ช้าง"
ควรจะมีลักษณนาม ๓ คำ คือ ช้างป่าหรือช้างเถื่อนที่ยังไม่มีใครไปจับมาใช้งานนั้นให้ใช้ลักษณนามว่า
"ตัว" ส่วนช้างที่ถูกจับมาฝึกฝนจนใช้งาน เช่น งัดซุง ลากซุง
ฯลฯ ได้แล้ว ให้ใช้ลักษณนามว่า "เชือก" เพราะตอนที่เขาจับมาเพื่อใช้งานนั้น
เขาจะต้องเอาเชือกมาตกปลอกไว้ที่เท้าของมัน โดยเหตุนี้จึงใช้ลักษณนามว่า
"เชือก" ส่วนช้างของหลวงก็ดี ม้าของหลวงก็ดี ถ้าได้ขึ้นระวางเป็นของหลวงแล้ว
ให้ใช้คำว่า "ช้าง" เป็นลักษณนามของ "ช้าง" และใช้คำว่า
"ม้า" เป็นลักษณนามของ "ม้า" ไม่ใช่ว่าออกลูกมาใหม่
ๆ ลูกช้างให้ใช้ลักษณนามว่า "ตัว" แต่เมื่อไรจึงจะใช้ลักษณนามว่า
"เชือก" มิได้บอกไว้
ถ้าถือตามที่ข้าพเจ้ากล่าวมา
ลูกช้าง ถ้าเป็นลูกของช้างป่า ก็คงใช้ ลักษณนามว่า "ตัว" ถ้าเป็นลูกของช้างบ้าน
ก็ให้ใช้ลักษณนามว่า "เชือก" และถ้าเป็นลูกช้างของช้างหลวงก็ใช้ลักษณนามว่า
"ช้าง"
เรื่องการใช้ลักษณนามว่าคำใดจะใช้ลักษณนามอย่างไรนั้น
เวลานี้ "คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย"
ได้พิจารณา ลักษณนามของคำนามต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. ๒๕๒๕ ไว้และได้พิจารณาจบไปวาระหนึ่งแล้ว ขณะนี้กำลังทบทวนเป็นวาระที่
๒ ซึ่งก็เกือบจบแล้วเช่นกัน ต่อไปคงไม่นานนักก็คงจะมีหนังสือคู่มือการใช้ลักษณนามขึ้นในบรรณโลกอย่างแน่นอน.