เมื่อวันที่ ๕ - ๖ กันยายน
พ.ศ. ๒๕๓๔ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดสัมมนาทางวิชาการ
ฉลอง ๑๐๐ ปี พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ห้องประชุมสารนิเทศ
หอประชุม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอานันท์
ปันยารชุน ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมมีข้อความที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ข้าพเจ้าขอนำข้อความบางตอนในสุนทรพจน์นั้นมาเสนอท่านผู้ฟังดังนี้
"ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง
ที่จะได้กล่าวถึงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งโดยตลอดพระชนมายุของพระองค์ท่านนั้น
ได้ทรงกระทำแต่สิ่งที่ดีงามและความบริสุทธิ์ในทางสติปัญญา อันเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อโลกทั้งมวล
และต่อประเทศชาติที่พระองค์รักยิ่ง ผู้ซึ่งเป็นแบบฉบับอันยิ่งใหญ่สำหรับอนุชนทั้งอดีต
ปัจจุบัน และอนาคต ในความสามารถส่วนพระองค์อันเอก อุอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบได้ใกล้เคียง
จึงเหมาะสมแล้วที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ
หรือ UNESCO ได้แสดงเจตนาอันหนักแน่น เฉลิมพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านเป็น
"บุคคลสำคัญผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลก" ประจำปีพุทธศักราช
๒๕๓๔ ในฐานะนักการทูตและนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ อันมีความหมายอย่างสูงต่อศักดิ์ศรีและความเคารพตนเองของชนชาวไทยทั้งมวล
ให้เราทั้งหลายได้จดจำจารึกไว้ตลอดไป พระนามแห่งเกียรติยศนั้นคือ พลตรี
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
"ในวาระหนึ่งศตวรรษของพระสมภพ
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวไทย
จะได้ย้อนรำลึกถึงพระคุณูปการอันไพศาลด้วยการจัดงานเฉลิมฉลองไปตลอดทั้งปี
อันหมายความถึงการสัมมนาทางวิชาการ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโอกาสนี้ด้วย
"แต่การที่จะกล่าวถึงผลงานของพระองค์ท่านที่ปรากฏต่อโลกและต่อประเทศไทยให้ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น
เป็นการยากที่จะเป็นไปได้ด้วยการสัมมนาในโอกาสใดโอกาสหนึ่งเพียงครั้งเดียว
แต่ขอให้เราหวังกันว่า จะทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ท่านได้มากกว่าเดิม
เพราะสิ่งที่ได้รับเพิ่มขึ้นโดยลำดับนั้น ล้วนแต่เป็นอาภรณ์ประดับสติปัญญา
ซึ่งจะเสริมคุณค่าชีวิตของผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาได้เสมอ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้ทรงผ่านประสบการณ์หลากหลายอย่างน่ามหัศจรรย์
ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทรงเป็นพระอัจฉริยบุคคลโดยแท้ อัจฉริยภาพของพระองค์ท่านมิได้เกิดขึ้นด้วยพระชาติวุฒิที่สูงส่ง
หากเกิดขึ้นด้วยความเปรื่องปราด และประสบการณ์ที่ทรงสั่งสมโดยตลอดมา
และมิได้ทรงเก็บงำไว้แต่เฉพาะพระองค์ท่าน เพราะได้ทรงเผื่อแผ่เจือจานในทุกวิถีทางที่ทรงกระทำได้
นับได้ว่าทรงเป็นอัจฉริยบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง
"พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นนักการทูตผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย
วันเวลาอันเนิ่นนานที่พระองค์ท่านทรงรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งในฐานะข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการนั้น
เป็นช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ที่ทุกคนจดจำได้ดี บทบาทของพระองค์ท่านในฐานะปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ
ก็ดี ในฐานะอัครราชทูตไทยประจำสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยมก็ดี
ตลอดจนในองค์การระหว่างประเทศของโลกในขณะนั้นคือ สันนิบาตชาติก็ดี ล้วนเป็นผลงานระดับดีเลิศที่ทรงกระทำในขณะที่มีพระชนมายุระหว่าง
๓๓ - ๓๕ พรรษาเท่านั้น และเพียงส่วนหนึ่งของพระอัจฉริยภาพที่ปรากฏเรื่อยมาอย่างสม่ำเสมอ
"ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช
๒๔๗๕ พระองค์ท่านได้ทรงงานเพื่อประเทศชาติอย่างยากที่จะมีนักการทูตผู้ใดเสมอเหมือน
นับตั้งแต่การแก้ไขสนธิสัญญากับนานาชาติ เพื่อความเป็นเอกราชและอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย
การเจรจากับฝรั่งเศสเพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส
จนกระทั่งการนำประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติได้อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางอุปสรรคนานัปการ ภารกิจทั้งหมดบรรลุผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง
และถือได้ว่าเป็นช่วงตอนที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย
"และในขณะที่ทรงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ก็ได้ทรงแสดงบทบาทอันสำคัญยิ่งในประชาคมระหว่างประเทศหลาย วาระ ทั้งในองค์การ
SEATO, ที่ประชุมเพื่อความตกลงในปัญหาเกาหลี, ที่ประชุม Afro - Asian
ณ นครบันดุง และอื่น ๆ อีกมาก
"เกียรติยศอันยิ่งใหญ่อย่างไม่มีชาวไทยผู้ใดเคยก้าวได้ถึงนั้น
เกิดขึ้นเมื่อทรงได้รับเลือกเป็นประธานสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ
สมัย ที่ ๑๑ ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ ด้วยบทบาทอันเป็นที่ยอมรับนับถืออย่างสูงในประชาคมระหว่างประเทศ
เสด็จในกรมฯ ได้ทรงวางพระองค์อย่างเหมาะสม เปี่ยมไปด้วยความสามารถและปรีชาชาญทางการทูต
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในพิธีอำลาตำแหน่งของพระองค์ท่านจะมีเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากมวลสมาชิกที่พร้อมใจลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงมุทิตาจิต
อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยกับประธานสมัชชาใหญ่ท่านอื่น
"พระเมตตาธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชานั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดเช่นกัน
ด้วยทรงวางพระองค์เป็นครู มิใช่ผู้บังคับบัญชา จึงเกิดบรรยากาศที่ดีและเป็นประโยชน์ต่องานของประเทศชาติตลอดมาด้วย
ทั้งได้ทำให้เกิดอนุชนผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถทำหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศอีกเป็นอันมาก
"ในบทบาทนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่
ตามที่องค์การ UNESCO ประกาศ เชิดชูพระเกียรติคุณอีกโสดหนึ่งด้วยนั้น
เป็นตำนานของประเทศอีกบทหนึ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้ด้วยได้ทรงอุทิศเวลาอันมีค่าให้กับการศึกษาตลอดพระ
ชนมายุ จึงทรงเป็นหลักแห่งภูมิปัญญาในทางสังคมศาสตร์ในระดับชาติมาโดยตลอด
ความเป็นนักวิชาการบริสุทธิ์ของพระองค์ท่านนี้เอง ทำให้ทรงเป็นนักปราชญ์แท้
และได้ทรงถ่ายทอดความรู้อันวิเศษเหล่านั้นสู่ผองชนอย่างเต็มพระสติกำลัง
จึงเกิดประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน"
.............................................................
"ในวิชาการด้านอักษรศาสตร์
พระเกียรติคุณยิ่งปรากฏเด่นชัดเมื่อทรงรับตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสถาน
เพราะพระอัจฉริยภาพในเรื่องการบัญญัติศัพท์นั้นเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป
ทั้งศัพท์ในทางการทูต กฎหมายและศัพท์วิชาการแขนงอื่น ๆ จึงทรงอุทิศเวลาในบั้นปลายพระชนม์ชีพเพื่องานของราชบัณฑิตยสถาน
จนแม้ทรงพระชราก็มิทรงย่อท้อ คุณูปการของพระองค์ท่านในส่วนนี้จึงเป็นคุณูปการของผู้ให้
โดยมิได้ทรงหวังได้รับผลตอบแทนในรูปใด เว้นแต่ความสำเร็จในทางวิชาการต่อส่วนรวมเท่านั้น"