ตามวัดต่าง ๆ บางวัดทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
บางทีก็จะมีแต่หอระฆัง ไม่มีหอกลอง บางวัดก็มีทั้งหอกลองและหอระฆังคู่กัน
และที่วัดบางแห่งมีเพียงหอเดียวประดิษฐานทั้งกลองและระฆัง คือข้างบนแขวนระฆัง
ข้างล่างไว้กลอง ส่วนนอกวัด ไม่ค่อยพบว่ามีหอกลองและหอระฆัง จะมีแปลกอยู่แห่งหนึ่งก็คือหอกลอง
ข้างกรมการรักษาดินแดน และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์กรุงเทพมหานครนี่เอง
ข้าพเจ้าได้อ่านบทความเรื่อง
"พระมหานคร กรุงเทพฯ ในความทรงจำของคนอายุเจ็ดสิบ" ซึ่งพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ (จำรัส เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์
วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๔ บทความดังกล่าว
พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ ได้เขียนไว้เอง มีอยู่ตอนหนึ่งว่าด้วย "หอกลอง"
นับว่าน่าสนใจมากดังนี้
"หอกลองนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่า
อนุชนทุกวันนี้คงจะมีจำนวนน้อยมากที่รู้จัก หอกลองเป็นตึกโบราณสองชั้นเล็ก
ๆ และไม่สู้จะสูงนัก ทำรูปเป็นทำนองเทวสถานตั้งอยู่ในสวนเจ้าเชตุ คือในพื้นที่ระหว่างถนนหน้าวัดพระ
เชตุพนฯ (วัดโพธิ์) กับถนนริมคลองหลอดระหว่างสะพานมอญกับสะพานหัวตะเข้
ซึ่งเป็นโรงทหารมหาดเล็กเดี๋ยวนี้ บนหอกลอง มีกลองใหญ่อยู่สามใบ ใช้สำหรับบอกสัญญาณต่าง
ๆ แก่ชาวพระนคร คือ ใบที่ ๑ ชื่อ "ย่ำสุริย์ศรี" ใช้ตีบอกเวลาย่ำรุ่ง
ย่ำค่ำ และเที่ยงคืน ใบที่ ๒ ชื่อ "อัคคีพินาศ" ใช้ตีเวลาเกิดเพลิงไหม้
ใบที่ ๓ ชื่อ "พิฆาฏไพรี" ใช้ตีเวลามีการทัพ คือ เป็นสัญญาณบอกเหตุสำคัญ
เรียกประชุมเลขหรือชายฉกรรจ์ แต่ด้วยเหตุที่พระนครกรุงเทพฯ ได้ขยายตัวออกไปมาก
จนเสียงกลองไม่ได้ยินทั่วถึง ความสำคัญของหอกลองก็เลยหมดไป และเลิกการใช้พร้อม
ๆ กับปืนเที่ยง แล้วก็นำไปไว้ในที่ต่าง ๆ เช่นที่หอน้ำ หรือหอนาฬิกาของกระทรวงกลาโหม
และให้ตีบอกเวลาแก่โรงเรียนนายร้อยอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุดจึงนำกลองไปเก็บในพิพิธภัณฑสถานจนทุกวันนี้
และก็สร้างโรงทหารลงในที่นั้น ตามที่ทางราชการเห็นว่ามีความจำเป็นกว่า
ดังที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้
"ในปัญหาเรื่องการเก็บกลองไว้ที่ไหนนั้น
บางท่านแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่าได้ย้ายไปไว้ที่ชั้นบนของศาลหลักเมืองก่อน
แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหลักเมืองเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน
จึงไม่น่าจะ เอากลองสัญญาณไปไว้ข้างบน
"ในบริเวณสวนเจ้าเชตุ
อันเป็นที่ตั้งของหอกลองนี้ เคยมีคุกอยู่ด้วย เรียกกันว่า "คุกเก่า"
แต่เห็นจะเรียกกันในภายหลัง คุกนี้เป็นตึกชั้นเดียว มีประตู ๒ ประตู
แต่หน้าต่างไม่มี เพราะเขาก่ออิฐไว้เป็นช่องระบายลมโดยทั่วไป นักโทษนอนเสื่อที่ปูกับพื้นดินซึ่งทุบเรียบ
อากาศอยู่ข้างจะชื้นแฉะมาก นักโทษสมัยโน้นรู้สึกไม่ใคร่จะมีมาก อาจเป็นเพราะตามบ้านท่านผู้ใหญ่มีตารางอยู่โดยทั่วไปก็เป็นได้ครั้นเมื่อคุกใหม่
คือกองมหันตโทษเดี๋ยวนี้สร้างเสร็จ คุกเก่าก็รื้อถอนและยุบเลิกไป
"อนึ่ง เมื่อได้พูดถึงเรื่องหอกลอง
ก็น่าจะได้พูดถึงเสียงปืนและระฆังสัญญาณด้วย เพราะแต่ละอย่าง ย่อมมีเหตุผลตามกาลสมัยดังต่อไปนี้
"ก. แต่ไหนแต่ไรมา โปรดเกล้าฯ
ให้ทหารยิงปืนใหญ่เป็นสัญญาณวันละ ๒ ครั้ง ๆ ละหนึ่งนัด คือ เวลาเที่ยงเรียกว่า
"ปืนเที่ยง" สำหรับบอกสัญญาณว่าตะวันตรงศีรษะ หรือครึ่งวัน
ซึ่งเราเรียกว่า "เที่ยงวัน" เพราะสมัยโน้นเราไม่มีนาฬิกา
หรือแม้จะมีในต่อมา ก็ไม่แพร่หลาย ทั้งตัวพระนครกรุงเทพฯ เองก็เล็กพอที่ราษฎรจะได้ยินเสียงปืนสัญญาณโดยทั่วกันได้
ครั้นพระนครขยายตัวและคนก็มีนาฬิกาใช้กันมากแล้ว การยิงปืนบอกเวลาเที่ยงก็หมดความจำเป็น
จึงโปรดเกล้าฯ ให้เลิกการยิงปืนเที่ยงเสีย เวลาราวตีสาม หรือ ๓ น.เศษ
มีการยิงปืนใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ประชาชนเรียกว่า "เวลาทหารยิงปืน"
นัยว่าเพื่อปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นหุงข้าวใส่บาตร เป็นการส่งเสริมให้คนทำบุญสุนทร
คนแต่ก่อนเข้านอนโดยมากตั้งแต่ ๒๐ น. หรืออย่างดึกก็ ๒๑ น. เพราะในยามไฟฟ้ายังไม่มีนั้น
ทุกหนทุกแห่งมืด แม้จะมีการตามไฟริมถนนเป็นบางแห่งก็ใช้เพียงโคมรั้ว
ตามบ้านก็จุดไตควันตลบ หรือตามตระเกียงริบหรี่เต็มที ชวนให้คนเข้านอนแต่หัวค่ำ
ดังนั้นนับเวลานอนไปจนถึงเวลาทหารยิงปืนก็ราว ๗ ชั่วโมง ซึ่งเป็นการพอสมควรแล้ว
การยิงปืนตอนเช้ามืดนี้ เข้าใจว่าเลิกก่อนการยิงปืนเที่ยงเสียอีก เพราะปืนเที่ยงเพิ่งเลิกเมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้บัญชาการกองพลแล้ว
ข. เวลาราว ๔ น. ทุกวันมีการย่ำระฆัง
เพื่อปลุกพระให้เตรียมตัวออกบิณฑบาต ถ้าเป็นฤดูเข้าพรรษาโดยปรกติพระทุกรูปจะต้องครองผ้าห่มก่อนแสงอรุณ
มิฉะนั้นถือว่า ขาดครอง และยังคงอยู่จนบัดนี้"
จากสาเหตุที่มีการยิงปืนเที่ยง
ซึ่งผู้ที่ได้ยินก็คือคนที่อยู่ในกรุงเทพพระมหานคร ซึ่งในสมัยก่อนยังไม่ขยายตัวไปกว้างใหญ่อย่างในปัจจุบันนี้
ส่วนคนที่อยู่ห่างไกลตัวเมืองออกไปก็ย่อมไม่ได้ยินเสียงปืน เราซึ่งเกิดมีสำนวนว่า
"ไกลปืนเที่ยง" ขึ้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
จึงได้ให้ความหมายไว้ว่า "ว. ไม่รู้อะไรเพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ".