ได้เคยมีผู้ถามปัญหาว่าในมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ ว่า ทำไมจึงมีตำแหน่ง "อธิการบดี" "เลขาธิการ"
และ "คณบดี" ด้วย คำเหล่านี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะชื่อเหล่านี้มีลักษณะเป็นคำทางศาสนาอยู่
ข้าพเจ้าได้อ่านบันทึกในหัวข้อว่า "กรรมการชำระปทานุกรมทำอะไร"
ที่อาจารย์เจริญ อินทรเกษตร อดีตเลขาธิการ ราชบัณฑิตยสถาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการชำระปทานุกรม
ในสมัยแรก ๆ ได้บันทึกไว้ และราชบัณฑิตยสถานได้จัดตีพิมพ์รวมไว้ในหนังสือชื่อ
"ความรู้ทางอักษรศาสตร์" ไว้ นับว่าน่าสนใจมากดังนี้
"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) ขอให้ตั้งคำไทยใช้แทนคำ
Rector และ Secretariate คำ Rector นั้นเป็นคำสำหรับใช้เรียกตำแหน่งหัวหน้าจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า ผู้บัญชาการจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
"หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ (ต่อมาทรงดำรงอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์
เป็น พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) ทรงแนะว่ามหาวิทยาลัยของฝรั่งแต่ก่อนคือวัด
เจ้าหน้าที่ประจำก็ได้แก่พระ เพราะฉะนั้น Rector ควรใช้ว่า อธิการ จะได้เข้ารูปตามตำนาน.
"ที่ประชุมเห็นชอบด้วย (คำ อธิการ นี้ มีใช้สำหรับคณะสงฆ์ว่า "เจ้าอธิการ"
และ "พระอธิการ" ซึ่งหมายถึง พระภิกษุผู้เป็นสมภาร แต่ตำแหน่งที่ตั้งใหม่นี้ใช้ว่า
"อธิการ" เฉย ๆ เช่น "อธิการจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย"
นับว่าไม่ขัดกัน) และคำว่า Secretariate นั้น
ที่ประชุมตกลงว่า ควรใช้ "สำนักเลขาธิการ" (ซึ่งเป็นทั้งสถานที่ก็ได้
หรือเป็นสมุหนาม คือหมายถึง คน ในสำนักนั้นก็ได้)
"หมายเหตุ
: บัดนี้ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ใช้ว่า "อธิการบดี"
คำว่า "อธิการ" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้
"น. เรียกพระที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสซึ่งไม่มีสมณศักดิ์อย่างอื่นว่า
พระอธิการ, เรียกพระที่ดำรงตำแหน่งพระอุปัชฌาย์หรือเจ้าคณะตำบลซึ่งไม่มีสมณศักดิ์อย่างอื่นว่า
เจ้าอธิการ; ตำแหน่งผู้เป็นใหญ่ในการบริหารมหาวิทยาลัย." ส่วนคำว่า
"อธิการบดี" ซึ่งเป็นลูกคำของคำว่า "อธิการ" นั้น
พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "น. ตำแหน่งผู้เป็นใหญ่ ในการบริหารมหาวิทยาลัย."
ส่วนคำว่า "เลขาธิการ" นั้นพจนานุกรม ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้
"น. ผู้เป็นหัวหน้าทำงานเกี่ยวกับหนังสือได้สิทธิ์ขาด. (สันสกฤต
เลขาธิการี ว่า เสมียนของพระเจ้าแผ่นดิน)." และคำว่า "เลขานุการ"
พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "น. ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหนังสือตามที่ผู้ใหญ่สั่ง."
นอกจากนั้นในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ยังมีตำแหน่งที่สำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งคือ
"คณบดี" ซึ่งพจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "น. หัวหน้าคณะในมหาวิทยาลัย."
ซึ่งยังบกพร่องอยู่เพราะในวิทยาลัย ซึ่งแบ่งเป็นคณะต่าง ๆ ก็มี "คณบดี"
เช่นกัน
การที่พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัติคำว่า
"อธิการ" แทนคำภาษาอังกฤษว่า Rector โดยเหตุผลที่ในประเทศต่าง
ๆ ในยุโรปและอเมริกา มหาวิทยาลัยเก่าแก่ทั้งหมด เช่น ออกซฟอร์ด เคมบริดจ์
ฮาวารร์ด เยล ฯลฯ ล้วนเป็นมหาวิทยาลัยที่นักบวชในศาสนาคริสต์ได้ตั้งขึ้นทั้งนั้น
พระองค์จึงทรงบัญญัติคำว่า "อธิการ" ขึ้นมาใช้แทน ซึ่งความจริงคำว่า
"อธิการ" เป็นตำแหน่งทางพระพุทธศาสนาที่เรียกเจ้าคณะพระคณาธิการระดับเจ้าอาวาสธรรมดา
ๆ ที่ไม่มีสมณศักดิ์ว่า "พระอธิการ" แต่ถ้าเป็นพระอุปัชฌาย์หรือเจ้าคณะตำบลที่ไม่มีสมณศักดิ์
ก็เรียกต่างออกไปว่า "เจ้าอธิการ" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอาคารเรียนในคณะอักษรศาสตร์นั้น
ก็มีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ โบสถ์วิหารพระอารามหลวงอยู่เหมือนกัน เพราะหลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีดุจดังโบสถ์วิหารวัดทั่ว
ๆ ไป
ส่วนคำว่า "คณบดี" ตามศัพท์ก็แปลว่า "ผู้เป็นใหญ่ในคณะ"
ก็คล้าย ๆ กับ "เจ้าคณะ" ในพระอารามหลวงทั่ว ๆ ไป ซึ่งมักแบ่งออกเป็นคณะ
ๆ บางวัดมีมากกว่า ๒๐ คณะ แต่ละคณะก็มี "เจ้าคณะ" ปกครองดูแลภิกษุสามเณรและศิษย์วัดในคณะของตนแทนเจ้าอาวาส
แต่ท่านไม่เรียกว่า "คณบดี"
นักเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่า "นิสิต" ก็เป็นศิษย์วัดอีกนั่นแหละ
คำว่า "นิสิต" ใช้คู่กับ "นิสัย" เวลาบวชพระ นาคจะต้องนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอ
"นิสัย" กับพระอุปัชฌาย์ คือขอให้ท่านเป็นที่พึ่งของตนในด้านการศึกษาอบรมในพระธรรมวินัย
พระอุปัชฌาย์จึงเป็น "นิสัย" ส่วนนาคที่เข้าไปขอนิสัย ก็เป็น
"นิสิต" ซึ่งแปลว่า ผู้เข้าไปขอพึ่งพระอุปัชฌาย์คือต้องไปอยู่ในวัด
อยู่ในความดูแลอบรมสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์อย่างใกล้ชิด พระภิกษุสามเณรที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในพระ บรมราชูปถัมภ์ ที่วัดมหาธาตุ ก็เรียกตนเองว่า "นิสิต"
เช่นกัน และคงเป็นเพราะเหตุนี้เมื่อนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาจบจะรับปริญญาเป็น
"บัณฑิต" ก็ต้องสวมเสื้อครุย ซึ่งก็คล้าย ๆ กับขุนนางไทยและนาคที่จะเข้าอุปสมบท
เมื่อผู้เข้ารับการอุปสมบทได้ศึกษาเล่าเรียนและลาสิกขาแล้ว ชาวบ้านจึงเรียกว่า
"ทิด" ซึ่งก็กร่อนมาจาก "บัณฑิต" นั่นเอง.